วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

มาเทียส รุสต์ วัยรุ่นที่เปลี่ยนโลก

วันที่ 4 กันยายน คศ 1987 ศาลโซเวียตตัดสินจำคุก เด็กหนุ่มเยอรมันวัย 19 ปี ชื่อ มาเทียส รุสต์ จากกรณีที่เขาขับเครื่องบินเล็กเล็ดลอดปราการทางอากาศของสหภาพโซเวียตเข้าไปถึงจตุรัสแดงกลางกรุงมอสโกว วีรกรรมที่ทั้งบ้าบิ่น ปนโง่เขลา เป็นสิ่งที่ไม่มีคนเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ในยุคนั้น บ้างก็ว่าๆ เขาเกือบเป็นชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 บ้างว่าเขานี่แหละเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การเจรจาต่างๆเป็นผลสำเร็จในเวลาต่อมาไม่นาน
หากย้อนกลับไปช่วงทศวรรษ 1980 เกือบจะเป็นช่วงสิบปีสุดท้ายของสงครามเย็นระหว่างค่ายโลกเสรีนำโดยสหรัฐและค่ายสังคมนิยมนำโดยสหภาพโซเวียต บรรยากาศในเวทีโลกล้วนเต็มไปด้วยการเจรจาต่อรองเพื่อลดอาวุธ การเผชิญหน้าทางการทหาร การโฆษณาชวนเชื่อ ความหวาดระแวง การจารกรรม กำแพงเบอร์ลินที่กั้นระหว่างเยอรมันตะวันตกและตะวันออกก็ยังอยู่ เป็นยุคที่ประชาคมโลกเชื่อกันว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน


 ปี 1982 มีการชุมนุมประท้วงอาวุธนิวเคลียร์กลางกรุงบอนน์ เมืองหลวงของเยอรมันตะวันตกในยุคนั้น มีผู้ชุุมนุม 250,000 คน ในเดือนมิถุนายน ปีเดียวกัน มีผู้เดินขบวนประท้วงอาวุธนิวเคลียร์ จำนวน 750,000 คน เดินจากหน้าที่ทำการองค์การสหประชาชาติไปยังเซ็นทรัลปาร์ก กลางกรุงนิวยอร์ก มีการสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่ยุโรปตะวันตก โครงการสตาร์วอร์ แต่ผู้คนก็ยังไม่เชื่อว่าจะได้ผลร้อยเปอร์เซนต์ ประกอบกับเหตุการณ์ความผิดพลาดที่โซเวียตไปยิงเครื่องบินโดยสารของเกาหลีใต้ตก เพราะฝั่งโซเวียตเองก็เชื่อว่าฝั่งตะวันตกเตรียมที่จะก่อสงครามกับตน


เดือนตุลาคมของปี 1986 มีการประชุมซัมมิตที่ประเทศไอซ์แลนด์ว่าด้วยเรื่องการห้ามมีขีปนาวุธ ระหว่างประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนของสหรัฐ และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์และประธานาธิบดี นายมิคาอิล กอร์บาชอพ ของโซเวียต แต่ก็ล้มไม่เป็นท่าในนาที่สุดท้ายของการประชุม สร้างความผิดหวังให้แก่ประชาคมโลกอย่างมาก

จากบรรยากาศความตึงเครียดของภัยสงครามนิวเคลียร์ที่โถมทับ กับ ผลการประชุมซัมมิตที่ล้มเหลวนี่เอง ทำให้ มาเทียส รุสต์ เด็กวัยรุ่นชาวเยอรมันตะวันตกวัย 19 ปี ได้สร้างวีรกรรมที่บ้าบิ่น  ในวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1987 มาเทียส รุสต์ ขับเครื่องบินเล็กจากประเทศฟินแลนด์เข้าไปที่กรุงมอสโกว เขาถูกระบบตรวจการณ์ ทางอากาศและเครื่องบินขับไล่ ติดตามอยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีคำสั่งให้ยิงเป้าหมาย และทางโซเวียตไปเข้าใจว่าเขาคงเป็นเครื่องบินจากฝั่งของตนเอง เขาเลยสามารถฝ่าปราการเหล็กจนนำเครื่องลงจอดได้ที่ใกล้ๆ จตุรัสแดงข้างทำเนียบเครมลิน กลางกรุงมอสโกวเมืองหลวงของสหภาพโซเวียต


รุสต์อ้างว่าเขาต้องการจะสร้างสะพานเชื่่อมมาฝั่งตะวันออก และเขากล่าวว่าเที่ยวบินของเขาในครั้งนั้นมีเจตนาจะลดความตึงเครียดและความหวาดระแวงระหว่างสองฝ่ายของสงครามเย็น รุสต์บินข้ามระบบป้องกันภัยทางอากาศที่เชื่อว่าไม่มีทางที่จะเจาะผ่านได้ แต่เมื่อเขาทำสำเร็จก็มีผลให้ทางรัสเซียสั่งปลดเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงหลายคน มีการปฏิรูปกองทัพกันขนานใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโซเวียตหลังจากยุคของสตาลิน และไปลดความน่าเกรงขามของกองทัพโซเวียตลงอย่างมาก จากการเปลี่ยนแปลงภายในครั้งนี้ ก็นำไปสู่จุดจบของสงครามเย็นในไม่กี่ปีถัดมา

ภายหลังจากการลงจอดของเขา รุสต์ถูกพิจารณาคดีที่มอสโกวในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1987 หลังจากนั้นสามวันเขาถูกตัดสินให้รับโทษจำคุกสี่ปี ในคุกแรงงานทั่วไปจากข้อหาทำตัวเป็นอันธพาล ฝ่าฝืนกฎหมายการบิน และลอบเข้าเขตแดนโซเวียต ในความเป็นจริงเขาไม่ได้ถูกส่งตัวเข้าคุกแรงงาน แต่ถูกคุมขังที่สถานกักกันชั่วคราวความปลอดภัยสูง ในมอสโกว์

เดือนธันวาคม สองเดือนหลังจากนั้น ประธานาธิบดี เรแกนและ ประธานาธิบดี กอร์บาชอฟ ก็บรรลุข้อตกลงข้อตกลงในการกำจัดขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางในยุโรป ต่อมาไม่นานศาลสูงของโซเวียตก็มีคำสั่งปล่อยตัว รุสต์ ในเดือนสิงหาคม ของปีต่อมา เพื่อเป็นการแสดงไมตรีจิตกับโลกตะวันตก

รุสต์กลับมาสู่เยอรมันท่ามกลางความสนใจของสื่่อมวลชน สื่อมวลชนขนานนามเขาว่า เป็นคนที่มีบุคคลิกอันตราย สภาพจิตไม่คงที่และอ่อนต่อโลก ชีวิตของรุสต์เมื่อกลับมาแล้ว มีปัญหาส่วนตัวหลายอย่างจนเขามีชีวิตแบบคนจับจด ต้องคดีต่างๆเป็นระยะ แต่สิ่งที่ทำให้โลกจดจำมาเทียส  รุสต์มากที่สุดคือเที่ยวบินที่เขาที่ฝ่าม่านเหล็กและปราการทางอากาศของโซเวียต จนนำไปสู่การปรับเปลี่ยนในกองทัพโซเวียตขนานใหญ่ และนำไปสู่การสิ้นสุดของสงครามเย็นในปี 1991


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น